เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓o ก.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ดูแลเอา เพื่อเอาประโยชน์เนาะ อ้าว ฟังธรรม วันนี้วันพระ วันนี้วันพระวันสำคัญทางพุทธศาสนา ทำไมมันสำคัญล่ะ มันสำคัญว่าถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว วันนี้วันที่ท่านประกาศธรรม ประกาศธรรมคือวันอาสาฬหบูชาท่านแสดงธรรมจักร ท่านแสดงสัจจะความจริงในใจของท่าน ท่านตรัสรู้ธรรม แล้วท่านเสวยวิมุตติสุขๆ พอเสวยวิมุตติสุขท่านยังไม่ได้เผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรม

เวลาเผยแผ่ธรรมจะเล็งญาณว่าจะเทศนาว่าการสอนใครก่อน เล็งญาณไปที่อาฬารดาบส อุทกดาบส คืออาจารย์ของท่านเอง ก็ตายไปแล้ว เล็งญาณๆ พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วมันเลอเลิศ มันเลอเลิศมากว่าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ถ้าสร้างอำนาจวาสนาบารมีมา บารมีเต็ม เกิดที่สวนลุมชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย แต่ตอนนั้นยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะเป็นราชกุมาร ชาติสุดท้าย แล้วเวลาออกสละราชบัลลังก์ไปแล้วอีก ๖ ปี ไปขวนขวาย ไปค้นคว้าอยู่

คำว่าค้นคว้าเราจะเห็นว่าเวลามันทุกข์ เวลามันทุกข์มันยากอยู่ ๖ ปีนะ คนเรากระเสือกกระสนหาทางออก แล้วมีคนสอนเราเราก็ประพฤติปฏิบัติตามท่านไปๆ แล้วเราทำไม่ได้ผล ๖ ปี เวลามันทุกข์ยากมันกดดันมาขนาดนั้น มันถึงเปรียบเทียบได้เวลาทุกข์ยากมันทุกข์ยากขนาดนั้น เวลาวันวิสาขบูชา ปฐมยาม มัชฌิมายาม เวลาปฐมยาม บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลามัชฌิมายาม จุตูปปาตญาณ เวลาอาสวักขยญาณ เวลามันสำเร็จแล้วนะ เวลามันตรัสรู้ธรรมขึ้นมา โอ้โฮ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ๆ แล้วจะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ

คำว่าจะสอนใครได้หนอมันมหัศจรรย์จนจะสอนใครไม่ได้ แต่เวลาสอนใครไม่ได้ท่านเสวยวิมุตติสุขของท่าน เวลามันทุกข์ มันทุกข์ยากขนาดนั้น เวลาแรงปรารถนาความต้องการมันบีบคั้นมาขนาดนั้น เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมามันต้องรีบเผยแผ่ธรรม รีบแจกแจงสิ แต่มันแจกแจงไปแล้วโลกเขาจะรู้ได้อย่างไร โลกเขาจะรู้ได้อย่างไร มันลึกลับมหัศจรรย์ แล้วมหัศจรรย์ที่ไหนล่ะ มันมหัศจรรย์ในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาแสดงออกมา แสดงการเทียบเคียงเฉยๆ

เวลาแสดงธรรมมาๆ เขาก็จดจารึกมาๆ จดจารึกมันอยู่ในพระไตรปิฎก ถ้าศาสนาเจริญในตู้พระไตรปิฎก แล้วหัวใจเรามันทุกข์มันร้อนไง ถ้าศาสนามันจะเจริญมันต้องเจริญในหัวใจของสัตว์โลก มันต้องเจริญในหัวใจของเรา เวลามันทุกข์กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบีบคั้นในหัวใจ ศีล สมาธิ ปัญญาเวลามันเกิดขึ้นมามันมีเชาวน์มีปัญญาขึ้นมา เวลามีเชาวน์ปัญญาขึ้นมา เวลาสัจธรรมๆ เป็นกิริยาทั้งนั้น เหมือนโยมมาที่นี่ โยมมาที่นี่ต้องอาศัยรถมา อาศัยเขามา

นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะเข้าไปสู่ธรรมๆ เอาอะไรเข้าไปสู่ธรรมล่ะ นั่งอยู่เฉยๆ แล้วตรัสรู้ธรรมมันเป็นไปได้อย่างไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา บุพเพนิวาสานุสติญาณระลึกอดีตชาติได้ เราระลึกอดีตชาติได้เราก็ตื่นเต้น เราเป็นผู้วิเศษ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ จุตูปปาตญาณเห็นจิตที่มันเวียนว่ายตายเกิด ไปจุติที่ไหนก็ไม่ใช่ แล้วเวลามันใช่ มันใช่อย่างไร มันใช่มันต้องมีที่มาที่ไปไง ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ในหัวใจดวงใดที่ไม่มีมรรค หัวใจนั้นก็ไม่มีผล เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องเป็นความจริงขึ้นมาอย่างนี้ไง

วันสำคัญทางพุทธศาสนามันสำคัญที่ตัวเรา ประเพณีวัฒนธรรมทางโลก เวลาวันสำคัญเขาไปทำบุญกุศลกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ไปทำบุญกุศลนะ ทำบุญกุศลเพื่อตัวเราๆ เราก็มาวัดมาวากันเพื่อทำบุญเพื่อตัวเรา มันเป็นอามิส เป็นอามิสขึ้นมา เพราะสิ่งนี้เวลาทำขึ้นมามันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา ถ้าชาวพุทธเราไปวัดไปวา ไปวัดไปวาทำไม ไปวัดไปวาก็ป้อนหัวใจเราไง อยู่บ้านมันก็ทุกข์ อยู่บ้านมันก็บีบคั้น เวลาไปวัดขึ้นมามันจะบีบคั้นเราไหม เวลาเราไปวัด เราไปวัดก็วัดหัวใจของเราไง

ถ้าวัดหัวใจของเรา ที่มีธรรมๆ ขึ้นมา มีธรรมขึ้นมาตรงนี้ไง ตรงที่ว่ามันมีคุณธรรมขึ้นมาในใจ ใจมันจะมีคุณธรรมขึ้นมา มันจะมีสัจจะขึ้นมา ถ้ามีสัจจะขึ้นมา เวลาไปวัดไปวา วัดมันเป็นประเพณีวัฒนธรรมนะ มันก็เป็นเรื่องโลก มันเป็นแหล่งท่องเที่ยว เวลาแหล่งท่องเที่ยวนะเขาต้องรอรถมาจอดก่อน รอรถจอดก่อนแล้วพระถึงค่อยออกมาบิณฑบาต มันเอาโลกเป็นใหญ่ไง ถ้าเอาโลกเป็นใหญ่นะ ประเพณีวัฒนธรรมก็เพื่อโลก ถ้าธรรมเป็นใหญ่ล่ะ

ถ้าธรรมเป็นใหญ่ ดูสิ เราเข้ามาในที่ทรงศีล มันเป็นที่สงบสงัดใช่ไหม เราต้องเคารพสถานที่ คำว่าเคารพสถานที่ สถานที่ทำไมต้องไปเคารพมัน สถานที่มันก็ธาตุ ๔ ทำไมต้องไปเคารพมัน สถานที่มันส่วนสถานที่ แต่ผู้ที่ทรงศีล ผู้ที่มีศีล มีธรรมเขาอยู่ในนั้น เราเคารพสถานที่ สถานที่ที่สงบสงัด เราเคารพ เราเคารพเรียกว่ามันเป็นสิทธิ์ มันเป็นสิทธิ์ของเรา สิทธิของเราก็เป็นสิทธิของเรานะ มันสิทธิของเขา สิทธิของผู้ทรงศีล

สิทธิของเขา เขาต้องการความสงบสงัดใช่ไหม เราก็ไม่ล่วงละเมิดสิทธิ์เขา ถ้าไม่ล่วงละเมิดสิทธิ์เขา แต่ถ้ามันเป็นกิเลส ฉันใหญ่โตคับฟ้า ฉันจะไปที่ไหนทุกคนต้องยอมจำนนต่อฉัน ไอ้นั่นมันเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก นั่นมันเป็นเรื่องโลก ถ้าศาสนาเจริญ เจริญที่ไหน เจริญในหัวใจของสัตว์โลกนะ

ถ้าเพราะหัวใจมันเจริญ ดูสิ ชาวพุทธของเรา วันสำคัญทางพุทธศาสนาเราจะไปทำบุญกุศลกัน เพราะอะไร เพราะมันมีความรู้สึกนึกคิดในหัวใจ ถ้าหัวใจมันไม่มีความรู้สึกนึกคิด ดูสิ พวกนี้มันเป็นธาตุ มันเป็นวัตถุ มันก็กองอยู่ในคลังสินค้านั่นล่ะ คลังสินค้าเขามีโลจิสติกส์เพื่อเอาไปค้าขายไง ค้าขายมันเป็นธุรกิจมันก็เป็นกำไรใช่ไหม แต่มันมาด้วยเจตนา มาด้วยหัวใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไง เราอยากจะทำบุญกุศล แล้วทำบุญกุศลอะไรทำ มันมีเจตนาเป็นนามธรรม

ถ้านามธรรมมันค่าของน้ำใจไง เราเอาสิ่งนี้มาทำ เราขวนขวายมา หาเงินหาทองมาเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยของเรา เราแลกเปลี่ยนมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา ของเราแท้ๆ ของเราแท้ๆ ทำไมเราเสียสละล่ะ ถ้ามันเสียสละเพราะหัวใจ ธรรมมันเจริญในหัวใจของคน มันอยากจะเสียสละไง ถ้ามันเสียสละไปแล้ว เสียสละเพื่อใคร ก็เสียสละเพื่อใจดวงนี้ไง ใจดวงนี้ได้มีการเสียสละ ใจดวงนี้ได้มีการกระทำ ถ้าใจดวงนี้มีการกระทำ ใจดวงนี้ก็ปลอดโปร่ง

เวลามันกดดัน เวลามันทุกข์มันยาก เราก็ไม่อยากให้สิ่งนี้มันกดดันทุกข์ยากในหัวใจของเรา แล้วทำอย่างไรให้มันสลัดออกไป ทำให้ความกดดันในใจ ทำให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่ครอบงำหัวใจเราสิ เราอยากได้ความสุขๆ เราอยากได้ เราอยากได้แต่เราไม่มีการกระทำ เราอยากได้แต่เราไม่ทำอะไรเลยมันได้อะไรล่ะ มันได้มา ถ้ามันได้มาสถานะของมนุษย์ เพราะเราเป็นมนุษย์สมบัติเราถึงได้มาเกิดในท้องพ่อท้องแม่ การที่มาเกิดท้องพ่อท้องแม่มันมีปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตเกิดในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ

การกำเนิด ๔ จิตนี้ต้องกำเนิดเพราะมันมีอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้สึกตัวมันเอง มันไปด้วยเวรด้วยกรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน เกิดจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน ก็อำนาจวาสนาของคนมันไม่เหมือนกัน อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาของจิตดวงนั้นที่มันได้สร้างสมมา นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เผยแผ่ธรรมๆ ไง ว่าจิตนี้มันมาจากไหน คนนี้มันมาจากไหน ทุกข์ยากนี้มาจากไหน มันมาจากการกระทำของสัตว์โลก

สัตว์โลกที่มันทำของมันมาแล้วมันมีการกระทำของมันมา แล้วมันมีอำนาจวาสนามาถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เกิดในไข่ ในครรภ์ของแม่ พอเกิดในไข่ ในครรภ์ของแม่ทำไมต้องไปเกิดล่ะ ไปเกิดเพราะมันเป็นสายบุญสายกรรม มันได้สร้างบุญสร้างกรรมกันมามันถึงมาเกิดร่วมกัน ถ้ามันไม่สร้างบุญสร้างกรรมมามันไม่มาเกิดร่วมกันหรอก ทุกคนจะไปเกิดในสถานที่เลอเลิศ ทุกคนอยากจะจุติเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม

เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เพราะเวลามันเข้าไปจุติด้วยภพ ด้วยชาติแล้วมันหมดอายุขัยของเขามันก็เวียนว่ายตายเกิด ในวัฏฏะมันก็เวียนมาเป็นเรา พอเรามาเกิดเป็นมนุษย์ ต้นทุน ต้นทุนของความเป็นมนุษย์ เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เหมือนกันแต่มีอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน ถ้ามีอำนาจวาสนาไม่เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคนมีกิเลสเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะทุกดวงใจว้าเหว่ การเกิดในวัฏฏะทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจไม่มีเว้น ทุกดวงใจว้าเหว่

ถ้าทุกดวงใจว้าเหว่ แล้วเราเกิดในสถานะของมนุษย์มันมีศักยภาพ มนุษย์สมบัติมีค่ามาก ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เราก็เป็นสัตว์สองเท้า เราเป็นสัตว์ร่วมโลกกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สร้างบุญกุศลมาขนาดนั้น ได้กระเสือกกระสนขึ้นมาขนาดนั้น ได้เป็นไก่ตัวแรกที่เจาะฟองอวิชชาออกมา ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รื้อค้น ได้ทำลายอวิชชา เปลือกไข่ที่มันครอบงำใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กะเทาะออกไป แล้วชี้นำทางเรา

เราเกิดมาในวัฏฏะ เรามาเกิดเราก็บ่นกันว่าร้อนๆ ทุกข์ไง เราถือเกิดมามันมีพลังงาน มีจิต เราถือดุ้นไฟคนละดุ้นคือพลังงานอันนั้น เราถือพลังงานอันนั้นถือกันมาคนละดุ้น ถือคบเพลิงคนละอัน แล้วเราก็บ่นว่าร้อนๆ แต่คบเพลิงนั้นมันส่องแสงสว่างให้เรา คบเพลิงนั้นมันให้พลังงานกับเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ฉลาดมาก ได้ทิ้งคบไฟนั้นแล้ว ได้ทิ้งคบไฟนั้นแล้ว แล้วเตือนพวกเราให้ทิ้งๆ ไง

ให้ทิ้ง ให้เสียสละ ให้ทิ้ง ให้มีการกระทำ แล้วทิ้งอย่างไรล่ะ เราทิ้งไม่ได้ เราทิ้งไม่ได้ คบเพลิงเป็นเรา เรากับคบเพลิงเป็นอันเดียวกัน เราไม่รู้ไม่เห็นจะไปทิ้งตรงไหนล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ทิ้ง อ้าว ทิ้งเราก็ทิ้งแล้วไง เกิดเป็นชาวพุทธก็ว่างๆ ไง เกิดเป็นชาวพุทธมันเวิ้งว้างไปหมดไง เอ็งทิ้งอะไร เอ็งเอาอะไรไปทิ้ง เอ็งเห็นอะไรเอ็งถึงได้ทิ้ง เอ็งไม่ได้เห็นอะไร เอ็งไม่รู้จักอะไร เอ็งทิ้งอะไร เราไม่รู้จักอะไรกันเลยนะ

เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะเจริญๆ ในตู้พระไตรปิฎก ธรรมะเจริญๆ ในคอมพิวเตอร์ ในคอมพิวเตอร์ไปกดสิ พระไตรปิฎกของสำนักใดออกมาหมดเลย เวลาธรรมะมันเจริญ เจริญในตู้พระไตรปิฎก ธรรมะไปเจริญในประเพณีวัฒนธรรม แต่ในหัวใจเรามันทุกข์ ในหัวใจมันทุกข์ ถ้าหัวใจเรามันทุกข์เราถึงมีค่าน้ำใจ เราถึงพัฒนาของเรานะ

ถ้าใครมีค่าน้ำใจ เรามาเรามาเสียสละ เรามาเสียสละ เสียสละวัตถุแล้วเราจะเสียสละความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจของเรา เราจะเสียสละกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันกดขี่หัวใจของเรา แล้ววันปกติเราก็ทำมาหากินของเรา เวลาวันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะวันสำคัญทางพุทธศาสนา แล้วเรามีความสำคัญในใจเราด้วย เรามีความสำคัญในใจเรา

เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นชาวพุทธ เราจะถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แก้วสารพัดนึก เวลาใครทำความสงบของใจเข้ามาใจมันสว่างไสว แก้วสารพัดนึก เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา แก้วสารพัดนึกมันจะทำลายตัวมันเอง เพราะแก้วนะแก้วมันใสสะอาดขนาดไหน ฝุ่นมันจะไปเกาะแก้วนั้น มันจะดีขนาดไหนมันก็เป็นอนิจจังทั้งนั้นแหละ สรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไรคงที่หรอก ถ้ามีสิ่งใดคงที่เราต้องใช้ปัญญาของเรา

แล้วปัญญาของเรา ทุกคนก็ว่ามีปัญญาๆ ปัญญาของเราฟังให้ดีนะ ปัญญาของเรากิเลสมันหลอกใช้ทั้งหมด ปัญญาของเรากิเลสมันเอาคำว่าเป็นปัญญาๆ แล้วมันก็ว่าเป็นเรา เราก็ไปวิเคราะห์วิจัยเรื่องสิ่งใดๆ โดยอวิชชา โดยอวิชชาตัณหาความทะยานอยาก ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญารู้หมด ศีลเอามาวิเคราะห์วิจัยได้หมด สมาธิแยกแยะมันมีกี่ขั้นตอน ปัญญาพูดปากเปียกปากแฉะเลย แต่ไม่เคยเห็นจิตของตัว

ธรรมะจะเจริญในตู้พระไตรปิฎก ธรรมะจะเจริญในทฤษฎี แต่มันไม่ได้เจริญในหัวใจเราเลย แต่ถ้าไม่มีการศึกษา ไม่มีปริยัติเลย ไม่มีปัญญาการทรงธรรม ทรงวินัยนี้ไว้ ศาสนานี้มันก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เราศึกษามา ศึกษาเพราะมันมีการศึกษาส่งต่อกันมา จดจารึกมาสองพันกว่าปี จดจารึกสองพันกว่าปี แต่ธรรมะเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันจะทำจริงขึ้นมา ปัญญาที่ว่ามีปัญญาๆ วางไว้ ถ้าปัญญามันเป็นความจริงนะมันจะรู้เท่าทันความคิดเรา เพราะ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันไว้

ปัญญาคือการรอบรู้ในกองสังขาร สังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง ถ้ามีปัญญามันจะรู้เท่าความคิดตัวเองทั้งหมด ถ้ามีปัญญามันจะยับยั้งความคิดของตัวเองได้ แล้วเรายับยั้งได้ไหม มีแต่พุ่งออกไปหมดแหละ ฉะนั้น บอกว่า ไอ้ที่บอกว่าปัญญาๆ นั่นล่ะ ปัญญากิเลสทั้งนั้น ปัญญากิเลสเขาเรียกว่าโลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาของโลกคือโลกทัศน์ โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือจิต โลกคือภวาสวะ โลกคือตัวของเรา แล้วปัญญามันเกิดบนโลก ปัญญามันเกิดบนอวิชชา ปัญญาอย่างนี้เขาเรียกว่าโลกียปัญญา ถ้าปัญญาอย่างนี้ปัญญาเจือด้วยสมุทัย

นี่ไงที่ว่าทำไมถึงต้องพุทโธ ทำไมถึงต้องใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันอบรมสมาธิมันปล่อยวางอันนี้เข้ามาไง มันปล่อยสมุทัย มันปล่อยจิตที่มันส่งออก แล้วกิเลสมันบังคับบัญชาอยู่ ถ้ามันปล่อยๆ ปล่อยจนเป็นอิสระ ปล่อยเป็นตัวมันเองเขาเรียกสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ เวลาจิตเป็นสัมมาสมาธิมันจะไม่ว่างๆ ว่างๆ อย่างที่เราพูดหรอก

คำว่าว่างๆ ว่างๆ มันไม่มีต้นสายปลายเหตุ มันเหมือนกับทองตกอยู่กลางถนน มันเหมือนกับสมบัติสาธารณะที่ไม่มีใครดูแล แต่ถ้าจิตมันสงบเข้ามานะเราเป็นเจ้าของความสงบ เรามีสติ รู้เท่า รู้เท่า รู้ตัวชัดเจน แล้วปล่อยวางหมด สัมมาสมาธิมันเป็นแบบนี้ ถ้าสัมมาสมาธิเป็นแบบนี้แล้ว ถ้ายกขึ้นสู่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เขาเรียกว่าโลกุตตรปัญญา ทำไมถึงเป็นโลกุตตรปัญญาล่ะ ปัญญาที่เราคิดกันอยู่เป็นโลกียปัญญา ปัญญาของกิเลสทั้งนั้นแหละ ไอ้ที่ปัญญามากๆ มีความชำนาญ มีความคล่องแคล่วในธรรมวินัย รู้ไปหมดแหละ

มันมีหน้าฉาก หลังฉาก หน้าฉากความคิดสามัญสำนึก หลังฉาก หลังฉากคืออวิชชา ความไม่รู้เท่าตัวเอง ถ้าเพราะความไม่รู้เท่าตัวเองจะค้นคว้าตัวเองไม่เจอ ถ้ารู้เท่าตัวเองมันจะไปเห็นหลังฉาก หลังฉาก อวิชชาคือความไม่รู้ ถ้าเห็นหลังฉากขึ้นมา ถ้าหลังฉากนั้นรำพึงไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แต่เวลาของเราเราไม่เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แต่เรายึด เรายึดโดยสามัญสำนึก เรายึดโดยสถานะ

เพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมาด้วยอำนาจวาสนา เราเกิดมาเป็นบุญเราถึงเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์แล้วเราเกิดมาเป็นเราไหม จิตนี้เป็นเราไหม ร่างกายนี้เป็นเราไหม เป็นทั้งนั้นแหละ แต่มันเป็นโดยวัฏฏะ มันเป็นโดยธรรมชาติ มันเป็นด้วยอำนาจวาสนา มันเป็นด้วยบุญ มันเป็นด้วยบุญ ด้วยสถานะการเกิด เวลาตายไปแล้วจะเกิดมาเป็นมนุษย์อีกไหม มันเป็นไปโดยบุญ มันเป็นไปโดยสมมุติ เป็นไปโดยวัฏฏะ เป็นไปโดยการชั่วคราว แต่ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงอันนั้นมันจะเห็นโดยอริยสัจ โดยสัจจะความจริง โดยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่ามันลึกลับซับซ้อน มันจะสอนใครได้หนอ เพราะอะไร เพราะไม่มีใครเคยเห็น ไม่มีใครเคยรู้ แต่วันนี้วันสำคัญทางพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนาเกิดจากตรงนี้ไง เพราะพุทธศาสนาเกิดตรงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดอานาปานสติ เวลาจิตสงบเข้าไปแล้ว ดูสิ เวลาอาสวักขยญาณ อาสวักขยญาณมันชำระอะไรล่ะ มันชำระในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพวกเราชำระอะไรล่ะ แล้วเรามีไหม เรามีร่างกายไหม เรามีจิตใจไหม เรามีทั้งนั้นแหละ

ถ้าวันสำคัญทางพุทธศาสนา ตอนนี้ในหัวใจเรามันมีความสำคัญ ถ้ามีความสำคัญเราถึงระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราระลึกถึงครูบาอาจารย์ของเรา เพราะมันมีความสำคัญในใจของเราไง เพราะมันมีความสำคัญในใจของเรา ใจของเรามันเลยมีที่พึ่งไง ถ้าใจของเรามันไม่มีที่พึ่งมันก็เร่ร่อนไง มันเร่ร่อน มันไม่มีที่พึ่งที่หมายมันเร่ร่อนของมันไป แต่ถ้าเรามีที่พึ่ง เรามีรัตนตรัย เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง วันสำคัญทางพุทธศาสนาเราถึงมาเสียสละกัน มาทำบุญกุศลกันนี่ไง

ถ้ามันเจริญมันเจริญอย่างนี้ แล้วถ้าจิตมันสงบนะ ถ้าจิตมันสงบนะ ครูบาอาจารย์ของเรา เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านอยู่ในป่าตลอด มันมีความสงบระงับของมัน แล้วมันแจ่มแจ้งในหัวใจนั้น มันสำคัญตรงนั้นไง เราสำคัญในสังคมนะ สังคมใดมีมหรสพสมโภชเราจะไปสังคมนั้น แต่เวลาจิตมันสงบแล้วสังคมของธรรมไง เวลาธรรมนะ ในที่สงัด ในที่วิเวกมันมีความสุขของมัน แล้วสิ่งต่างๆ มันไม่มีอะไรเป็นของจริงเลย คำว่าผลของวัฏฏะมันเปลี่ยนแปลง มันอนิจจัง

วันนี้มา เวลาออกไป เวลาถ้ามันผ่านไปแล้วมันก็เป็นอดีตไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว มันไม่มีสิ่งใดคงที่ ไม่มีสิ่งใดคงที่ แล้วถ้าจิตที่มันสงบที่มันมีปัญญาของมัน มันมีคงที่ของมัน แล้วพิจารณาไปด้วยปัญญาอันนั้น จิตสงบแล้ว จิตสงบเพราะจิตเป็นความจริงไง คนเราเราเกิดเป็นคนจริงๆ ไง แต่จิตจริงๆ ยังไม่เห็นไง พอจิตสงบแล้วมันเป็นจิตจริงๆ ยกขึ้นสู่วิปัสสนามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วมันฝึกหัดใช้ปัญญาไปมันจะเป็นภาวนามยปัญญา มันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาเหนือโลก

ไอ้โลกียปัญญาปัญญาโดยโลกียะ โลก ปัญญาที่เราว่าเราฉลาดๆ มันเป็นวิชาชีพนะ ใครมีประสบการณ์ ทำงานเขาจะทำงานเป็น ทำงานเป็นเราทำเพื่ออาชีพของเรา ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัญญามีที่ยืนในสังคม เราต้องมีปัญญายืนในสังคมนี้ สังคมนี้เราก็ต้องยืนด้วยโลก แต่ถ้ามันจะเอาความจริงขึ้นมามันจะเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ผู้รู้กับผู้รู้เขาคุยกัน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ครูบาอาจารย์ของเราท่านจะตรวจสอบกันๆ อันนี้จะเป็นความจริง

ถ้าความจริงอันนี้จะเกิดขึ้นมา ธรรมะจะเจริญในหัวใจของสัตว์โลก เจริญในหัวใจของคนนะ เราจะเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นศาสนทายาท เป็นธรรมทายาท เป็นธรรมไง ใจเป็นธรรมเป็นทายาทโดยธรรม เป็นทายาทโดยธรรม บวชมาเป็นพระเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ในใจยังไม่เป็นธรรม บวชมาแล้วบวชตามประเพณีวัฒนธรรม แต่เวลาใช้สติ ใช้ปัญญาค้นคว้าในหัวใจของเรา เราจะบวชใจของเรา จะบวชเป็นพระเราก็ทำได้ เป็นฆราวาสเราก็ทำได้ ทำให้เป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เกิดมาไม่เสียชาติเกิด เอวัง